นอนหลับไวขึ้นสักครึ่งชั่วโมงจากเวลาปกติ
บางคนอาจคิดว่าการนอนหลับไม่ได้ช่วยให้สิวหาย
หรือการนอนหลับไม่ได้ช่วยลดการอักเสบของสิวได้
หากคนเรามีการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ อย่างน้อย 7 - 8 ชั่วโมง
จะทำให้ร่างกายปรับสภาพได้ดียิ่งขึ้น
เนื่องจากกลางวัน แต่ละคนได้ใช้พลังงาน ใช้ร่างกาย แถมยังต้องไปคลุกคลีอยู่กับสิ่งสกปรกมากมาย
ช่วงเวลาการนอนหลับเป็นสิ่งที่ดีอีกหนึ่งสิ่ง ที่ควรทำ
ยกตัวอย่างเช่น คนทำงานปกติ หรือนักเรียน นักศึกษา
ปกติคนเราจะนอน 5 ทุ่ม หรือดึกกว่านั้น ถ้ามีการปรับปรุงการนอนให้ไวขึ้น เช่นนอน 4 ทุ่ม แล้วตื่นหกโมง
ทำให้การนอนในแต่ละวันครบ 8 ชั่วโมง ร่างกายได้พักผ่อน สิวที่ขึ้นได้พักผ่อนไปพร้อมกับเรา
การพักผ่อนจะช่วยให้สิวลดการอักเสบลงได้ดีในระดับหนึ่ง
สังเกตุได้ว่า คนบางส่วนที่เป็นสิวง่าย สิวอักเสบง่าย พอได้พักผ่อนเต็มที่ สิวจะมีการอักเสบน้อยลง
และยุบตัวลงไปได้ แต่ก็ต้องอยู่กับการควบคุมดูแลรักษาเหมือนกัน
จะหวังพึ่งการนอนให้พออย่างเดียวคงไม่ได้ หากการใช้ชีวิตประจำวันยังเหมือนเดิมๆ
และที่สำคัญการนอนหลับต้องหลับแบบธรรมชาติ นอนเต็มอิ่มนะค่ะ
การนอนสะดุ้งหรือนอนเพื่อให้ผ่านๆไปในช่วงระหว่างกลางคืน
หรือคอยพะวงเวลานั้นก็ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่เช่นกันค่ะ
ซึ่งการพักผ่อน นอนหลับ จะทำให้ผิวหน้าเราดีขึ้นด้วย ลดความตึงเครียด รอยย่นต่างๆ
ทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นกว่าช่วงที่มีเวลานอนน้อยด้วยนะค่ะ
การดูแลตัวเอง
1. ออกกำลังกายซะบ้าง
นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายท่านเห็นตรงกันว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน จะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลดีต่อระบบสมอง ขณะที่หัวใจและปอดก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าหากสมองแข็งแรง ก็จะทำให้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย
2. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
คุณรู้หรือไม่ว่า การได้รับพลังงานไม่ว่าจะมากหรือน้อยเกินไปส่งผลต่อการทำงานของระบบสมอง ดังนั้นแล้วอาหารหรือผลไม้อะไรก็ตามแต่ที่คุณทาน ก็ควรจะเป็นอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง และให้ปริมาณของไขมันและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดการทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็จะทำให้การทำงานของระบบสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. ไม่ตามใจปาก
การตามใจปาก ทานอาหารอย่างไม่ดูคุณค่าทางโภชนาการจะทำให้สมองทำงานช้าลง ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมการทานอาหารอย่างพอเหมาะ เพราะหากควบคุมอาหารที่มากเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลเสียทำให้เกิดภาวะเบื่ออาหาร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำงานของสมองอย่างมาก
4. ดูแลตัวเอง
โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง เป็น 3 โรคอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อสมองโดยตรง ทำให้กระบวนการรับรู้ของสมองแย่ลงจนอาจทำให้เกิดอาการความจำเสื่อมได้ ดังนั้นคุณจึงควรที่จะดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง เพื่อบรรเทาไม่ให้สมองถูกทำลายก่อนวัยอันสมควร
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดที่ทำให้ร่างกายและสมองได้รับการผ่อนคลายจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน ซึ่งการนอนอย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง ก็จะทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น และตัวคุณเองก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นเช่นกัน
6. กาแฟช่วยคุณได้
มีการศึกษาพบว่ากาเฟอีนในกาแฟสามารถปกป้องสมองได้ การดื่มกาแฟวันละ 2 - 4 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อมได้ 30 - 60% เลยทีเดียว
7. ทานปลาบำรุงสมอง
ปลาถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและสมองสูง โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่อยู่ในเนื้อปลา มีประโยชน์ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
8. ปล่อยตัวไปตามสบาย
เครียดมากเกินไปก็ส่งผลทำให้การทำงานและการจดจำของสมองแย่ลงได้ ดังนั้นแล้วจงปล่อยตัวไปตามสบายซะบ้าง ทำจิตใจให้สงบ อย่างเช่น การเล่นโยคะ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
9. หลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมต่าง ๆ
หากใช้อาหารเสริมต่าง ๆ อย่างผิดวิธีและเกินความจำเป็นจะส่งผลเสียต่อสมองอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะอาหารเสริมก็เหมือนยาชนิดหนึ่งซึ่งจะส่งผลดีก็ต่อเมื่อร่างกายมีปัญหาหรือร่างกายจำเป็นต้องได้รับเท่านั้น หากร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรใช้อาหารเสริมแต่อย่างใด
10. ทำกิจกรรมที่ลับสมอง
เพื่อเป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลาว่าง ให้ลองหาเกมลับสมองมาเล่นดู ไม่ว่าจะเป็นปริศนาอักษรไขว้ ต่อจิ๊กซอว์ เพราะนอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยให้ระบบการทำงานของสมองใช้การได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
"จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม" จัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
"ปรับความสว่างของห้อง" ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้ม่านเพื่อปรับแสงให้ผ่านเพียงบางส่วน ไม่ให้เข้าตาโดยตรง เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น
"เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์" ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ ลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
"พักสายตา ทุก ๆ ชั่วโมง" เปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรืออาจจะบริหารดวงตาด้วยวิธีง่ายๆตามหลักของ "เบตส์" นายแพทย์ชาวอังกฤษ ที่คิดค้นท่าบริหารจนมีชื่อเสียงไปทั่วยุโรปและอเมริกา
เริ่มแรก ใช้อุ้งมือครอบที่ดวงตา แล้วนึกถึงภาพวันสบาย ๆ หรือการพักผ่อนสุดสัปดาห์ จากนั้นจินตนาการว่าเรากำลังมองสิ่งของสีสดใส เช่น ดอกไม้สีแดง เหลือง การจินตนาการภาพจนเห็นวัตถุที่ชัดเจน จะช่วยให้สายตาดีขึ้น
ต่อไป ให้กวาดสายตาไปมา แบบไม่ต้องจ้อง เพื่อผ่อนคลาย และฝึกโฟกัสภาพ ทั้งใกล้และไกลสลับไปมา เมื่อตื่นนอน ชโลมดวงตาด้วยความเย็น เพื่อให้กล้ามเนื้อตากระชับ ส่วนก่อนนอน ให้ชโลมด้วยน้ำอุ่นเพื่อความผ่อนคลาย
"ปรับความสว่างของห้อง" ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้ม่านเพื่อปรับแสงให้ผ่านเพียงบางส่วน ไม่ให้เข้าตาโดยตรง เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น
"เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์" ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ ลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
"พักสายตา ทุก ๆ ชั่วโมง" เปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรืออาจจะบริหารดวงตาด้วยวิธีง่ายๆตามหลักของ "เบตส์" นายแพทย์ชาวอังกฤษ ที่คิดค้นท่าบริหารจนมีชื่อเสียงไปทั่วยุโรปและอเมริกา
เริ่มแรก ใช้อุ้งมือครอบที่ดวงตา แล้วนึกถึงภาพวันสบาย ๆ หรือการพักผ่อนสุดสัปดาห์ จากนั้นจินตนาการว่าเรากำลังมองสิ่งของสีสดใส เช่น ดอกไม้สีแดง เหลือง การจินตนาการภาพจนเห็นวัตถุที่ชัดเจน จะช่วยให้สายตาดีขึ้น
ต่อไป ให้กวาดสายตาไปมา แบบไม่ต้องจ้อง เพื่อผ่อนคลาย และฝึกโฟกัสภาพ ทั้งใกล้และไกลสลับไปมา เมื่อตื่นนอน ชโลมดวงตาด้วยความเย็น เพื่อให้กล้ามเนื้อตากระชับ ส่วนก่อนนอน ให้ชโลมด้วยน้ำอุ่นเพื่อความผ่อนคลาย
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น